วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

~เซ็ง~

วันนี้วันเสาร์ ที่ 11 ธันวาคม 2553 แล้วสินะ  เร็วจังแต่ละปี สรุปปีนี้ได้ทำอะไรผ่านไปแล้วบ้าง

นอกจากเล่นเกมส์ อิอิ  เจ้าเกมส์บ้า ไม่ใช่สิ เน็ตห่วยอืดมาก  อัพโหลดอย่างกะ 256

แม่เจ้าวันจันทร์ต้องเล่นงานเจ้าของเน็ตสักหน่อย  โหลดฟาร์มวิวที รอจนหลับ

วันที่ 6 ธันวา ไปถอยบ้านมาหลังหนึ่ง  ตกกระใจปนประหลาดใจตัวเองนิดหน่อย

บทจะซื้อก็ซื้อกันแบบปุ๊ปปั๊ป  งงๆ ว่า ซื้อดีหรือไม่ซื้อดี  หลังจากวางมัดจำนะ

ดันมาทำคิดมากอ่ะ 55555  ก็มานั่งนึกว่า โดนคุนไสย์คนขายหรือเปล่า

หรืออะไรดลจิตดลใจกันนะ  แต่เราก็ปิ้งส์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้วแหละ

แต่ไม่คิดว่าพวกพี่ๆแล้วก็แม่จะปิ้งส์ด้วยงัย  ยิ่งไกลๆบ้านเดิมขนาดนั้น

ที่ห่วงว่าไม่ผ่านก็แม่นี่แหละ  ไม่ชินกับสังคมชนบท ชินกับสังคมในเมืองที่อะไรๆก็สะดวกสบาย

ไปหมดไม่ว่า ตลาด ธนาคาร โรงพยาบาล ตลาดนัด แหล่งช็อป  รวมทั้งเพื่อนฝูง

แก๊งค์เก่าออกกำลังกาย  แต่เอาเหอะมันผ่านไปแล้วช็อตนั้น  จะหวนกลับไปคิดก็ใช่เรื่องนะ

ต้องเดินหน้าๆต่อไป  ไม่อยากจะคิดอ่ะ  มันเหนื่อยน่าดู  แค่วันนี้ ไปดูเก็บรายละเอียดบ้านนะ

กระดาษเอสี่ไปสองหน้าแล้ว.......

อ้อ วันนี้พ่อมาด้วยนะ  วันจองไม่ได้มา เลยถือโอกาสพาไปกินวันพ่อด้วยเลย  คิวเค้ายาวอ่ะ

ลูกเยอะ 555555  ได้คิววันนี้พอดี  พาไปกินสวนกุหลาบ อาหารไทยๆ

คือเค้ากินจนไม่รู้จะกินอะไรแล้ว  เยอะมาก  ก็คิดว่ากินเป็นพิธี

พอเสร็จก็นึกว่าจะกลับมาเล่นเกมส์ชิวๆๆ  เน็ตดัน..นะ

หงุดหงิด  อารมณ์เสีย  น่าเบื่อที่สุด...

อ้อ  ช่วงคริสมาสต์เราไม่อยู่นะ   หนีเที่ยวอ่ะ  ถ้ากลับมามีรมณ์จะเล่าให้ฟังนะ

แต่ท่าทางจะยาว  ยิ่งแก่แระ ยิ่งขี้เกียจพิมพ์อ่ะดิ  คริๆๆ

พอแระ...วันนี้มาบ่นเท่านี้แหละ


วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

~ห่างสักนิดเพื่อคิดถึงกัน~



" เกาะนางยวน " เป็นเกาะที่อยู่ในทะเลอ่าวไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ความมันส์อยู่ที่ตอนนั่งเรือเตรียมข้ามไปเกาะนี่แหละ  เราจะได้เห็นภาพทั้งคนไทยและต่างประเทศ

แย่งกันอ๊วกบนเรืออย่างเมามันส์  มาลุ้นกันว่าใครจะอ๊วกก่อนเท่านั้นแหละ

สิ่งที่จะได้รับกันก่อนคือ ถุงพลาสติก เตรียมใส่อ๊วกตัวเองหนะแหละ





เรือที่ใช้ข้ามเป็นเรือใหญ่นะ แต่เพราะคลื่นลมแรงต่างหาก และความไม่ชิน

ด้านล่างเรือเป็นห้องแอร์ มีวีดีโอให้ดูเพลินๆเผื่อไม่อ๊วก 

แต่หารู้ไม่การดูนั่นแหละทำให้เรารู้สึกโครงเครงตามเรือจนอ๊วก 

คนที่ชอบอากาศทะเลๆ   ก็ดาดฟ้าเรือเลยแต่เปียกนะ

เพราะคลื่นแรงสาดดังโครมๆใหญ่เข้าดาดฟ้าเต็มๆ 

ขนาดนั่งด้านล่างที่เป็นห้องแอร์มีกระจกให้มองด้านนอก

ยังเห็นน้ำทะเลอยู่เกือบครึ่งกระจกเลย เหมือนกับเรือจะจมน้ำ

แต่เปล่าหรอกมันเป็นการกระทบของตัวเรือกับคลื่นในทะเลนั่นเอง 

สิ่งนี้ต้องผจญทั้งขาไปและขากลับ(คือเรื่องอ๊วก)  แต่โชคดีที่เราไม่เป็น 

เตรียมดมยาดม และหลับไปดีกว่า  ต่อให้ไม่หลับก็นั่งท่องพุทโธ 

ไม่ก็นับแกะไปพลางๆ  เดี๋ยวก็หลับอ่ะ  ดีกว่าไปนั่งดูทีวี 

ประสาทตาจะรับได้ถึงความโยกโยน  แล้วจะพานไปยังประสาทส่วนอื่น 

ทำให้รวนไปกันหมด   คนที่ไปด้วยเห็นนั่งดูหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆๆๆ  ดีดีสักพัก

หาถุงให้วุ่นแล้วตามมาด้วยเสียงอ๊วก คราวนี้แหละเหมือนมโหฬี

คือมีคนหนึ่งเริ่ม คนอื่นๆที่ประสาทอ่อนแอ จะเริ่มๆตามกันมาเป็นพรวน 

แล้วจากจะหลับก็จะไม่หลับแล้ว  เปลี่ยนมานับเสียงอ๊วกแทน 5555

แต่บนเรือเค้าก็จะมีบริการยาให้นะ  ใครไม่ชัวร์กินยากันไว้ก่อนได้ 

แต่บางคนกินก็ยังเอาไม่อยู่นะ


ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากทะเล ท้องฟ้า ก้อนหิน  หาดทราย ประการัง

บ้านพัก  เตียงนอนชายหาด และชาวต่างชาติ

ที่สำคัญแขกทุกคนจะได้พบกับป้ายประกาศห้ามนำขวดพลาสติกขึ้นเกาะ

บนเกาะมีคูลเลอร์น้ำดื่มบริการฟรีตลอด 

แม้กระทั่งการดำน้ำดูประการังก็ห้ามใส่ฟินด้วย

เพราะจะเป็นการทำลายธรรมชาติของปะการัง



เกาะที่นี้มีเสน่ห์มาก มีแต่ความเงียบสงบ ยิ่งไปหน้าโลว์ 

ชาวต่างชาติก็จะน้อยเป็นพิเศษ 

แต่เราจะเสียโอกาสเพราะจะเป็นช่วงมรสุมเข้าบ้าง ฝนตกบ้าง

ก็จะอดไปดำน้ำดูประการัง  ได้แต่ทำกิจกรรมบนเกาะนี้เท่านั้น 

ซึ่งก็คงไม่มีอะไรมากนอกจาก  นอนตากลม ดมอากาศทะเล555





ที่เกาะเล็กๆนี้จะมีแนวสันทรายเชื่อมเกาะสามเกาะเข้าไว้ด้วยกัน 

ตอนเย็นๆถึงดึกๆน้ำจะขึ้นทำให้ทางเชื่อมเกาะสามเกาะ

ที่เป็นสันทรายไม่สามารถเดินผ่านได้ 

จริงๆก็เดินผ่านได้อ่ะ  แต่เปียกประมาณเอวเอง

แต่ถ้าตอนเช้าๆ จะเดินได้สบายแถมยังเห็นสันทรายชัดเจนด้วย 

อาหารเช้ากลางวันเย็นจะต้องเดินมากินที่เกาะใหญ่ 

ที่พักก็จะอยู่อีกเกาะหนึ่ง  เจ้าของรีสอร์ตจะให้เราเดินมากินอาหารเย็นไวหน่อย 

ไม่งั้นน้ำขึ้นมา ก็เดินมากินได้นะ แต่จะกินไปเย็นไป  เพราะเปียกและลมแรงด้วยหนะสิ

แต่จริงๆก็ไม่ซีเรียสหรอก ถ้าน้ำขึ้นมาก เค้าก็จะเอาเราขึ้นเรือเล็กไปส่งฟากที่เป็นห้องพักเราได้

แต่อาศัยว่าเรากินอาหารเย็นเร็วกว่าชาวบ้านเค้ากระมัง

แถมตอนไปมีคนไทยห้องพักเดียวมั้ง  อาหารที่เค้าเตรียมไว้ให้เราอย่างกับพระราชากินเลย

เยอะมาก ถ้ากลับจากเกาะแล้วไม่อ้วนขึ้นสักสองโลให้รู้ไป อิอิ

หาดทรายที่นี่ขาวสะอาดแต่ไม่นุ่ม เพราะเม็ดทรายเม็ดใหญ่และมีเศษซากปะการังหักมากมาย 

ถ้าเดินเท้าเปล่ามีเจ็บกันแน่ๆ  หรือไม่ถ้าพลาดท่าเสียทีเข้าก็จะมีรอยเลือดกันบ้าง

ถือเป็นแผลรักฝากจากเกาะนางยวนกันเลยทีเดียว  (ไว้มาต่อนะไปก่อนละ)


*** บนเกาะที่ห่างแผ่นดินใหญ่ 60 กิโลเมตร

ไม่มีสัญญาณโทรทัศน์ในห้องพัก 

สัญญาณโทรศัพท์อ่อนแอ 

แต่เปิดโอกาสให้สัญญาณใจได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มเปี่ยม 

แค่...นั่งเงียบๆ  อ่านหนังสือดีๆสักเล่ม 

นอนตากลมเย็นๆ ฟังเสียงปะการังร้องเพลง 

กลางคืนออกมาคุยกับดาว 

เท่านี้ก็เป็นความสุขที่คลาสสิก ***




" 3 วัน 2 คืน เวลาของที่นี่สามารถทำให้ลืมทุกอย่าง

และทำให้นึกถึงทุกอย่างได้เช่นกัน 

บางช่วงเราอาจใคร่ครวญอดีต 

บางเวลาอาจสงสัยในอนาคต 

แต่สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ

....อยากหยุดปัจจุบันไว้ตรงนี้ให้นานๆ.....

แม้กระทั่งผู้มีอำนาจวิเศษเหนือโลก ยังไม่อาจหยุดยั้งเวลาได้ 

ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้คือ  เต็มที่กับปัจจุบันให้มากที่สุด "



@ ฉันรักเธอ......นางยวน @


วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

~ไว้อาลัย~




วันนี้ว่าจะเริ่มเขียนวันแรก หลังจากหยุดเจ็บมือไปสองสามวัน

แต่วันนี้ดันมีเรื่องไม่ดีเลย  ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องด้วยนะ 

ก็สาเหตุจากวันนี้การไฟฟ้ามาเปลี่ยนหม้อแปลงแท้ๆ 

ทำให้ไฟดับทั้งหมดตั้งแต่ตอนเก้าโมงเช้า 

พอไฟดับก็กำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอกมันร้อน 

พอดีเหลือบไปเห็นนางแมว ที่ชาวบ้านเค้าเลี้ยง 

แต่มันชอบแอบเข้าบ้านโน่นบ้านนี่ไปอึ  สร้างกลิ่นตลบอบอวลไปหมด 

กลิ่นไม่พอทำหญ้าดีดีตายอีกนะ   ทีแรกเห็นมันคิดว่ามันต้องดอด

เข้ามาเพื่ออึแน่ๆ  ใจเลยรีบย่องไปจะเอาไม้กวาดไปฝาดกบาลมันซะแล้ว

ที่ไหนได้ พอเดินไปถึงสนามหญ้าจะเป็นลม เห็นอีแม่แมวอีกตัว

มันคาบปลาคาฟเราขึ้นมาจากบ่อตั้งแต่เมื่อไหร่

ปลาคาฟมานอนผงาบๆๆ  บนหญ้า โดยมีอีแมวอีกตัวนั่งมอง

ทำนองจะเอาไปงัยเนี่ย  ตัวใหญ่และหนักอยู่

ส่วนไอ้ตัวที่ ทีแรกเราเห็นกะวิ่งไปตีกบาลมันนั้น 

ก็คิดอยู่ว่ามันดอมๆมองๆอะไร 

ที่แท้มันก็มองปลาคาฟตัวนี้อยู่เหมือนกัน 

แต่คงเกรงใจที่อีแม่แมวอีกตัวเฝ้าอยู่  เลยเดินแบบดอมๆเข้าไป

พอไปถึงก็ไล่ตะเพิดแมวสองตัวไป 

แล้วเอากระชอนมาตักเจ้าปลาตัวนี้ลงบ่อไปใหม่

จะบอกว่า ปากบ่อเราอ่ะนะ มีตาข่ายกั้นไว้ด้วยนะ 

แค่เจาะรูตรงกลางนิดหน่อย ประมาณให้น้ำพุลอยขึ้นมากลางอากาศได้

แต่หลังๆไม่ได้ให้น้ำพุลอยขึ้นกลางอากาศ  ปล่อยลงบ่อ

เพราะดูท่าทางปลาคาฟมันจะชอบเล่นโต้คลื่นน้ำมากกว่า 

แต่ที่ตอนแรกให้น้ำพุมันลอยขึ้นกลางอากาศ

เพราะต้องการเป็นการเพิ่มอ็อกซิเจนให้มันมากกว่า 

แล้วก็ไล่ไอ้พวกแมวบ้านี่ได้ด้วยส่วนหนึ่ง

แมวแถวนี้มันเก่งเนอะ  เหมือนมันรู้หรือได้ยินคนพูดกันว่า

วันนี้ไฟจะดับ  แล้วมันก็เลยมาจัดการปลา 

เพราะรู้สึกว่าหลังจากไฟดับไม่นานเองนะ ประมาณห้าหรือสิบนาที

มันก็ปฎิบัติการเสร็จแล้ว  และอีกอย่างปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น 

หนักขนาดนั้นมันจัดการขึ้นมาจากหลุมได้งัย 

ที่กว้างแค่ขนาดน้ำพุ พุ่งขึ้นมา คิดแล้วทั้งแค้น  ทั้งซูฮกมันนะนี่

พอจัดการอะไรเสร็จสรรพ  หาผ้ากรองแสงแดดมาบัง

แถมด้วยถังปิดรูอีก  คิดว่ามันมาขโมยไม่ได้แน่ๆ

แต่พอกลับมาดันมาเจอ  ปลาลอยเป็นเบรื่อ 

เออ  ทำไมเป็นงี้นะ ก่อนหน้านี้ก็มีไฟดับนะ มันก็ยังรอดอ่ะ

แถมตอนก่อนออกไปก็ใส่ออกซิเจนเม็ดให้มันแล้วนะ 

คิดว่าน่าจะโอเคนะ  เพราะก่อนหน้านี้ก็มีนะแบบไฟดับตอนกลางคืน 

นานพอควรอ่ะ  หรือบางทีไฟดับครึ่งวันแบบนี้ก็มี

เอ หรือว่าจะเป็นเพราะใส่ไอ้ตัวที่แมวคาบไปลงไป 

มันเหมือนมีเชื้อโรคอ่ะ  แล้วพอมันตายมันก็ทำให้สภาพน้ำเสียมาก 

ตัวอื่นก็ตายไปด้วยอีก  หรือว่าตัวพวกมันใหญ่มาก 

แถมอากาศร้อนจัด  น้ำก็ไม่ได้ใสสะอาดมากหนัก 

อากาศไม่พอแย่งกันเลยตาย  เออ ไม่อยากวิเคราะห์แล้ว 

ปวดกบาลมากอ่ะ  มันตายไปไม่ใช่น้อยนะ 






14 ตัวจาก 17  เห้อออออออออ................


ยังดีเหลืออีกสามให้เห็นหน้า  ที่เหลือก็ไซท์กลางๆ  






กลับมารีบเปลี่ยนน้ำเลย  งานเข้าเลยอ่ะ

ก็คิดว่าคงไม่บาปอ่ะ  เพราะไม่ได้เจตนา  " กรรมเกิดจากเจตนา "

แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดีนะ  เลี้ยงมันมาแต่เด็กอ่ะ 

ขนาดตัวยาวเท่านิ้วกลาง  ขนาดตัวแบบนิ้วครึ่ง







ตัวละเจ็ดบาทสิบบาทงี้อ่ะ 

คิดดูๆๆๆ  ตอนนี้มันตัวประมาณสองสามโลแล้ว






จริงๆมีรูปถ่ายมันด้วยละ สมัยหลายเดือนโน้น

ถ่ายไว้ตอนล้างบ่ออ่ะ ทีแรกก็กะเขียนเกี่ยวกับปลาคาฟที่เลี้ยงไว้

ไม่คิดว่าจะต้องมาเขียนเป็นงานศพมันแทน  เศร้าใจ??????

พรุ่งนี้ไปใส่บาตรให้พวกมันแล้วกันเนอะ

รูปภาพเหล่านี้ไว้ดูอาลัยตอนพวกมันยังอยู่แล้วกันนะ  หือๆๆๆ


















วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

~ไม่ไหว~

ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนให้ได้วันละอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง

แต่วันนี้ดันเดี้ยงซะตั้งแต่บ่ายแล้ว

ไม่รู้เป็นอะไร ปวดกระดูกสะบักขวาแขนมาก

วันนี้คงไม่ได้เขียนอะไร  รักษาตัวก่อน

พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

~โฮย่า(ผกาแก้ว)~



ชื่อสามัญ : นมตำเลีย , นมเมีย, ต้าง, Wax Flower, Wax Plant

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Hoya spp.

วงศ์ : Asclepiadaceae

ถิ่นกำเนิด : เขตร้อนชื้นแถบเอเชีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย




" โฮย่า "  ตั้งเป็นเกียรติแก่ Thomas  Hoy

ผู้ดูแลสวนของ Duke of Northumberland

นิยมนำมาเป็นไม้ประดับในบ้านเรือนมีอยู่ 3 ชนิด

ส่วนใหญ่เป็นโฮย่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ

ได้แก่

1.ผกาแก้ว Hoya carnosa

2.Hoya  australis

3.โฮย่าหนู Hoya bella


โฮย่าเป็นไม้เลื้อยไม่ผลัดใบที่มีรากอากาศ  ใบและดอกหนามีผิวมัน

จึงมีชื่อสามัญเรียกว่า Wax  Plant หรือขี้ผึ้งเลื้อย 

ใบเป็นใบเดี่ยวขึ้นเป็นคู่ตรงข้ามกัน  ทุกส่วนของต้นมียางสีขาวหรือใส  

ขนาดและรูปใบต่างกันไปในแต่ละชนิด  ทุกส่วนของต้นมียางสีขาวหรือใส 

ขนาดและรูปใบต่างกันในแต่ละชนิด  ทั่วไปใบเป็นรูปไข่ปลายใบแหลม

ใบสีเขียวหรือสีเขียวอมเทา  บางชนิดใบด่างออกสีเหลือง  เขียวชมพู 

บางชนิดใบเรียวแหลม  ใบรูปหัวใจ  ใบหยิกงอ



โฮย่าออกดอกตลอดปี  มีมากสุดช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูร้อน 

แทงก้านช่อดอกออกตามข้อใบ  ก้านช่อดอกมีอายุนานหลายปี 

และผลิช่อดอกใหม่ได้อีกหลายครั้ง  ดอกเป็นช่อแบบร่มห้อยลง 

ช่อหนึ่งมีดอกย่อย 10-30 ดอก 

กลีบดอกชั้นนอก 5 แฉกพลิกลู่ไปทางด้านหลัง 

ลักษณะดอกชั้นในคล้ายมงกุฎเป็นที่ตั้ง

เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่กลางมงกุฎ 

ดอกมีสีขาว  ครีม แดง  ม่วง  แดงชมพูอมเขียว

แล้วแต่พันธุ์  แม้แต่กลิ่นของมันก็เช่นกัน



เลี้ยงเป็นไม้ประดับ  ควรใช้เครื่องปลูกที่เก็บความชื้น 

ระบายน้ำและอากาศได้ดี  ไม่เปื่อยหรือผุง่าย 

แขวนในที่มีแสงสว่างส่องถึง 

หรือในเรือนเพาะชำที่มีหลังคา

พรางแสงไว้ 50% รดน้ำวันละครั้งพอ



การบำรุงรักษา : ฉีดพ่นปุ๋ยเร่งดอกทางใบแบบเดียวกับกล้วยไม้


การขยายพันธุ์ : ปักชำด้วยกิ่ง ให้มีข้อใบติดอยู่ 2-3 ข้อ


หรือเพาะด้วยเมล็ดแต่ได้ผลช้ากว่า


โรคและแมลง : เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมงมุมแดง และโรครากเน่า    











วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

~วันลงหมึก~

วันนี้วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2553  เวลา 7.00 นาฬิกา พอดีแฮะ

เริ่มทดลองเขียนบล็อกสักหน่อย หลังจากเปิดมานานแล้ว 

แต่ดันไปแอบเขียนที่พันทิพย์ซะมากกว่า

เมื่อวานวันอาทิตย์ไปอบรมที่จามจุรีสแควร์มา 

หลังเคยไปมาแล้วประมาณสองครั้ง

ก็ดีนะค่าที่จอดรถ ถูกที่สุดแล้วในย่านจุฬาฯมั้ง 555

ว่าแต่...พอไม่ได้ไปตั้งนาน  รู้สึกว่าตึกฝั่งนิติฯที่เป็นบ้านผู้คนทั่วไป 

โดยมีร้านประจำหัวใจของนิสิตจุฬาฯ

ที่โด่งดังใช้ได้  หายไปแล้ว....

" จีฉ่อย " ร้านขายของทุกอย่าง  ตั้งแต่ซากกระบือ (ถูกหรือเปล่านี่?? )

ยันเรือรบหายไป  ตึกรามบ้านช่องแถวนั้นถูกทุบทิ้งซะหมด 

จุฬาฯเวนคืนที่  เอาไปทำอะไรซะแล้ว??

คำถามคือ??  แล้ว " จีฉ่อย " ย้ายไปไหน .........555

แค่คิดถึง แต่ไม่อยากรู้คำตอบหรอก 

ขายตั้งแต่บัดนั้น  (สมัยเราเป็นนิสิต) ยันบัดนี้ 

ไม่รวมว่าเปิดก่อนหน้ามากี่ปี  ใช่สิ 

รวมกับที่พี่เราเรียนก่อนเรา ก็ได้เห็นจีฉ่อยมาก่อนนะ

คงหลายปีน่าดู (อาจรวยไปแล้ว  อิอิ)

อ้อ ! เมื่อวานที่ไปแถวจุฬาฯ  เห็นพวกเด็กๆมัธยมมากมาย 

ไม่รู้มาสอบGAT-PAT หรือเปล่า

เดินยัวเยี่ยไปหมด  เอ ! คำนี้ใช้กับคนหรือเปล่าหนอ 

เอาเป็นว่า เดินมากมายไปหมด

แต่สิ่งที่เห็นเมื่อสมัยก่อนและยังคงเป็นคือ 

" การจอดรถริมฟุตบาท  "  กรณีในจุฬาฯไม่มีที่จอดเพียงพอ

และกรณีผู้ปกครองมารับบุตรหลาน ทำให้วันอาทิตย์ที่รถน่าจะไม่ติด 

กับติดขึ้นมาเพียงเพราะถนนหายไปหนึ่งเลน 

หรือไม่ก็ฝีมือพวกแท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสารเหมือนเดิม

ไม่หงุดหงิดหรอกนะ  เพราะเมื่อวานฝนตก 

พอเข้าใจได้  รู้ซึ้งดี เพราะสมัยก่อนก็ไม่ได้มีรถใช้ได้

แย่ยิ่งกว่านั้น  ไม่ขึ้นแท็กซี่ด้วยสิ 

แค่ตากฝนขึ้นรถเมลล์ตามประสาคนจน 5555

ช่วงวิ่งรถผ่านไปแถวถนนสาทร เห็นผู้คนมากมายริมถนน

เตรียมตั้งโต๊ะหมู่บูชาบ้า เตรียมซุ่มดอกไม้สวยงาม 

มองไปบางคนเริ่มนำองค์พระพิฆเนตรมายังโต๊ะ 

คิดในใจคงมีงานประจำปีของวัดแขกแน่ๆ 

สักพักพอรถวิ่งหยุดตรงไฟแดงหนึ่ง

เห็นป้ายบอกให้เลี่ยงการจราจรหลังช่วงหกโมงเย็น

เป็นต้นไป มีงานวัดแขกจริงๆ  แต่เมื่อวานเป็นการบูชา

พระแม่ฯ อะไรสักองค์  จำชื่อไม่ได้ไม่เขียนดีกว่า

เดี๋ยวผิดพลาดไป ไม่ดี

ระหว่างเมื่อวานทั้งวันก็ฟังข่าวน้ำท่วมโคราช 

ทางอีสานน่าสงสารมากนะ  ร้อนก็แห้งแล้งมากไม่มีน้ำ

ทำนา  พอฝนมาน้ำก็มาท่วมแบบไม่ปรานีปราศรัยกันเลย 

อยุธยาก็ใช่ย่อยได้ข่าวว่าบางวัดน้ำก็ท่วม

เข้าองค์พระพุทธรูปด้วยซ้ำ 

นี่แหละแบบที่พี่โน้ตอุดมบอก .....Thailand  Only.....

อ้อ ! มะวานได้ไปกินโกโก้ปั่นที่ร้านดอยตุง 

ในจามจุรีสแควร์แหละ  แม่เจ้า ที่จะเล่าเพราะ  ราคาพี่แก

แพงใช้ได้เลย  แพงยังกับสตาร์บัคส์เลย  ถ้วยใหญ่ 110 บาท 

ถ้วยใหญ่ต่างกับถ้วยเล็กแค่ 10 บาท

นี่แหละสิ่งที่พนักงานจะพูดให้รู้สึกว่า  ซื้อแก้วใหญ่เหอะ 

แต่สำหรับเราแค่สิบบาท  หรือราคา 110  บาท

มันไม่ใช่สาระ  แต่สาระมันอยู่ตรงที่คุณภาพ 

สรุปว่า  .... ราคาไม่สมคุณภาพ.....

แต่ยกระดับราคาขึ้นมาซะเป็นราคาพรีเมียมเลย 

แต่คุณภาพแค่ปานกลาง  ถ้าราคาสัก 70-80 บาท

จะรู้สึกว่าไม่แพง  แถมยังต้อง Self-service 

แล้วคนซื้อต้องมากระย่องกระแย่ง 

เดินไปเดินมาแบกเครื่องดื่ม  หรือแม้แต่เบอเกอรี่เอง 

เอาธรรมเนียมต่างประเทศมาใช้

เอาราคามาใช้  แต่คุณภาพไม่ถึง 

(บางครั้งถ้าเราสั่งมาก สตาร์บัคส์  พนักงานเค้าก็ส่งให้ถึงที่นะ)

แต่ร้านนี้หยิ่งใช้ได้  สั่งเครื่องดื่มสอง  เบอเกอรี่สอง 

แต่ต้องมาเดินไปเดินมาแบกเอง  กินก็ราคาไม่ใช่ถูกๆ 

ถ้าสั่งน้ำแก้วเดียวจะไม่ว่าเลย  นี่แหละ...ไทยแลนด์โอรี่..

การมาฟังการอบรมฯครั้งนี้  ก็ถือว่าไม่ได้ฟังมานานแล้วนะ 

สำหรับการฟังครั้งสุดท้าย ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก 

ส่วนใหญ่ก็เอาแต่ทวิสฯ ข้อความอย่างที่เห็นแหละ

ช่วงแรกคนก็เต็มห้องนะ  พอพักแล้วต่อก็เริ่มมีหายไปบ้าง 

พอถึงเวลาก็ลุกไปเยอะเหมือนกัน

นั่งอยู่จนจบแหละ  ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง  เบื่อๆอ่ะ 

รู้สึกว่าจัดมาเพื่อขายของต่ออีกแล้วคนไทย

จะมีใครไหม??  ที่จัดอบรม  แบบสอนกันรวยแบบหมดเปลือกจริงๆ 

ไม่ต้องมีการขายคอร์สอบรมต่อ

ไม่มีหรอกเนอะ  จะบ้าหรือ??  เพราะกว่าพวกเค้า

จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์การลองผิดลองถูก

มามากสักเท่าไหร่  เค้าก็ต้องลงทุนนะ 

ลงทุนทั้งเวลา  แรงงาน  และเงิน  จะมีใคร?? 

มาบอกให้ฟรีๆ  ก็แบบนี้แหละ 

พอคิดแบบนี้ทีไร   ไม่ค่อยอยากไปอบรมฯแล้ว

ว่าจะไปเล่นเกมส์สักพัก   ไปพักใหญ่เลยแฮะ

ต่อไม่ติดแล้วสิ  ไว้ค่อยมาว่ากันใหม่นะ *-*